โบท็อกกรามหน้าเรียว ควรทำแค่ไหน?

การฉีดโบท็อกกรามหน้าเรียวเป็นวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมในการปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กลง โดยโบท็อกซ์เป็นสาร Botulinum toxin A ซึ่งเป็นโปรตีนจากแบคทีเรีย Clostridium botulinum มีคุณสมบัติในการยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดโบท็อกซ์เกิดการคลายตัว ส่งผลให้กรามเล็กลง 

กรามใหญ่เกิดจากอะไร?

กรามใหญ่เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น

  • พันธุกรรม
  • การบดเคี้ยวอาหารแรง
  • กล้ามเนื้อกรามทำงานมากเกินไป
  • น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น

การฉีดโบท็อกกรามหน้าเรียวได้ผลแค่ไหน?

การฉีดโบท็อกกรามหน้าเรียวสามารถช่วยให้กรามเล็กลงได้จริง โดยผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับปริมาณโบท็อกซ์ที่ฉีด จำนวนจุดที่ฉีด และเทคนิคการฉีดของแพทย์ โดยปกติแล้ว จะเห็นผลภายใน 1-2 สัปดาห์ และคงอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน หลังจากนั้นอาจต้องมีการฉีดซ้ำ

โบท็อกกรามหน้าเรียวควรทำแค่ไหน?

ปริมาณโบท็อกกรามหน้าเรียวที่เหมาะสมนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและความต้องการของแต่ละบุคคล โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและแนะนำปริมาณโบท็อกซ์ที่เหมาะสม โดยปกติแล้ว ปริมาณโบท็อกซ์ที่ฉีดต่อข้างจะอยู่ที่ประมาณ 20-40 ยูนิต

ตัวอย่างผลลัพธ์การฉีดโบท็อกกรามหน้าเรียว

จากผลการสำรวจพบว่า คนไข้ส่วนใหญ่ที่ฉีดโบท็อกกรามหน้าเล็กแล้ว ต่างก็พึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ โดยพบว่ากรามเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าดูเรียวเล็กลง ส่งผลให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อกกรามหน้าเรียวอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและความต้องการ

ข้อควรระวังในการฉีดโบท็อกกรามหน้าเรียว

การฉีดโบท็อกกรามหน้าเรียวเป็นวิธีที่มีความปลอดภัยสูง แต่อาจเกิดผลข้างเคียงได้บ้าง เช่น

  • ปวด ตึงบริเวณที่ฉีด
  • ยิ้มไม่เต็มที่
  • ปากเบี้ยว
  • กล้ามเนื้อกระตุก

หากพบผลข้างเคียงดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

สรุป

การฉีดโบท็อกกรามหน้าเรียวเป็นวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กลง แต่ควรเลือกฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในคลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและสวยงาม

ข้อควรพิจารณาในการฉีดโบท็อกกรามหน้าเรียว

นอกจากปริมาณโบท็อกซ์แล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ต้องพิจารณาในการฉีดโบท็อกกรามหน้าเรียว เช่น

  • สภาพผิวและโครงสร้างใบหน้าของคนไข้
  • ความต้องการและเป้าหมายของคนไข้
  • ประวัติการแพ้ยาหรือโรคประจำตัวของคนไข้

โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินปัจจัยเหล่านี้และแนะนำปริมาณโบท็อกซ์ที่เหมาะสมให้กับคนไข้แต่ละราย